ข่าว

ยอดผู้ลี้ภัย หรือผู้คนที่หลบหนีการโจมตีทางอากาศโดยทหารเมียนมาร์ และผู้ที่เสี่ยงต่อการถูกข่มเหงทางการเมืองเป็นจุดสนใจในช่วงหลายเดือนนับตั้งแต่การรัฐประหารในวันที่ 1 กุมภาพันธ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ซึ่งมีพรมแดนติดกับเมียนมาร์ระยะทางกว่า 2,400 กิโลเมตรและมีผู้ลี้ภัยเกือบ 92,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์กะเหรี่ยงอยู่ในค่ายเก้าแห่งมานานกว่าสามทศวรรษอ่านต่อ ...

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้แสดงความชื่นชมให้กับความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่จะยุติปัญหาบุคคลไร้สัญชาติดูต่อ ...

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) แสดงความชื่นชมต่อการที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ณ วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2562 อนุมัติการจัดตั้งระบบเพื่อคัดกรองบุคคลที่จำเป็นต้องได้รับความคุ้มครองระหว่างประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2560 ที่เห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งและปรับใช้ระบบดังกล่าวโดยประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้ลงนามในอนุสัญญาผู้ลี้ภัยปี พ.ศ.2494 และไม่มีกฎหมายเฉพาะด้านการลี้ภัย ดังนั้นผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยที่ไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะพำนักในประเทศไทยถือว่าเป็นผู้อพยพผิดกฎหมายอ่านต่อ ...

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ยกย่องบทบาทของประเทศไทยในการให้การดูแล และคุ้มครองผู้พลัดถิ่นตามหลักการแห่งความเมตตากรุณา และมนุษยชนพล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่าพลเอกประวิทย์ วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีได้ต้อนรับการมาเยือนของนายอินดริกา รัตวัตติ (Indrika Ratwatte) ผู้อำนวยการระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก UNHCR ณ สำนักงานใหญ่กระทรวงกลาโหม กรุงเทพฯ อ่านต่อ ...

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ชื่นชมความพยายามของไทยในการลดภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติให้กับบรรดาเด็กๆในแถลงการณ์หน่วยงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติได้แสดงความชื่นชมยินดีต่อการพัฒนาในกลุ่มเด็กไร้สัญชาติกว่า 60,000 รายในประเทศไทย ที่ได้รับประโยชน์จากการทบทวนตามแนวทางของรัฐบาล ซึ่งจะเป็นการสร้างเส้นทางสู่สัญชาติไทยสำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อไปอ่านต่อ ...

ประเทศในเอเชีย-แปซิฟิกได้ให้คำมั่นในงานเจรจาที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ เพื่อดำเนินการต่างๆรวมถึงการปฏิรูปกฎหมายในการแก้ไขปัญหาว่าด้วยคนไร้สัญชาติ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในภูมิภาคนี้ ตามรายงานของสหประชาชาติระบุว่าในภูมิภาคเอเชียมีจำนวนคนไร้สัญชาติมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งโลก จำนวนกว่า 10  ล้านคน และหนึ่งในนั้นมีชาวมุสลิมโรฮิงญาจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ล้านคนอ่านต่อ ...

นางฟาติมาวัย 48 ปี ซึ่งเกิดในค่ายผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในยาร์มุคใกล้เมืองดามัสกัส โดยเธอคิดว่าเธอจะได้พบกับความปลอดภัยในประเทศไทย เมื่อเธอหนีสงครามกลางเมืองในประเทศซีเรียมายังประเทศไทย เมื่อเกือบหกปีก่อน “เราเดินทางมาประเทศไทยเพราะเป็นประเทศเดียวที่ให้วีซ่าแก่เรา” อย่างไรก็ตามวีซ่าหมดอายุลงก่อนที่เธอ และสามีจะสามารถหางานทำตามกฎหมายได้ และนั่นทำให้กลายเป็นแรงงานข้ามชาติที่ผิดกฎหมายในทันที แม้ไม่กี่เดือนต่อมาสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) จะรับรองสถานะผู้ลี้ภัยของเธอ แต่ก็ยังผิดกฎหมายในสายตาคนไทยอยู่ดีอ่านต่อ ...